วันอังคารที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2558

Week5: สีรุ้งฟุ้งกระจาย #lovewins

หลายๆคนคงสงสัยใช่ไหมคะว่าทำไมอยู่ดีๆ รูปโปรไฟล์ในเฟสบุ๊คถึงกลายเป็นสีรุ้งฟุ้งกระจายกันขนาดนี้!!! แต่สำหรับบางคนก็คงจะทราบกันแล้วว่าโปรไฟล์สีรุ้งนี้หมายถึงอะไร เพราะฉะนั้นใครที่ยังไม่ทราบ มาทำความเข้าใจกันด่วนๆเลยค่ะ จะได้คุยกับเขารู้เรื่อง!



(Mark Zuckerberg - founder of Facebook)



- โปรไฟล์สีรุ้งคืออะไร? -

ก่อนอื่นต้องขอกล่าวย้อนไปสักหน่อยนึงนะคะ ว่าก่อนที่จะมาเป็นโปรไฟล์สีรุ้งเนี่ยมันมีความเป็นมาอย่างไร

ปรากฏการณ์โปรไฟล์สีรุ้งฟุ้งกระจายนี้มีต้นกำเนิดมาจากประเทศสหรัฐอเมริกาค่ะ เนื่องจากในวันที่ 26 มิถุนายน (วันที่ 27 มิถุนายน ของประเทศไทย) ที่ผ่านมานี้ศาลสูงสุดของสหรัฐฯได้ตัดสินคดีให้มีการออกกฎหมายรองรับการแต่งงานของเพศเดียวกันได้ถึง 50 รัฐ จากเดิมมีเพียง 37 รัฐเท่านั้นที่มีกฎหมายเช่นนี้ ซึ่งประเทศอเมริกาก็นับเป็นประเทศที่ 21 ที่มีการยอมรับการแต่งงานของเพศเดียวกัน บรรดาผู้คนมากมายจึงร่วมกันแสดงความยินดีและเฉลิมฉลองให้กับการต่อสู้อันเนิ่นนานของกลุ่มเพศที่สามอย่างล้นหลาม

ในช่วงค่ำของวันเดียวกัน ที่อาคารทำเนียบขาวได้ฉายไฟสีรุ้งทั่วทั้งตึก ซึ่งสีรุ้งนั้นเป็นสัญลักษณ์ของขบวนการต่อสู้เพื่อสิทธิรักร่วมเพศ สื่อต่างๆจึงพากันร่วมเฉลิมฉลองกับปรากฏการณ์ในครั้งนี้ บริษัทใหญ่ทั่วทั้งอเมริกาและต่างประเทศได้ออกมาเปลี่ยนสัญลักษณ์เป็นสีรุ้ง ไม่ว่าจะเป็นบริษัทยักษ์ใหญ่อย่าง Visa, Mashable, Google, Twitter, Youtube และอื่นๆอีกมากมาย แต่ประเด็นที่เราจะพูดกันในวันนี้คือ จุดกำเนิดโปรไฟล์สีรุ้งในเฟสบุ๊คของเรา ต้องยกให้กับสำนักงาน Facebook และ Mark Zuckerberg หนุ่มหล่อมากความสามารถเจ้าของ Facebook ของพวกเรานั่นเองค่ะ เพราะนอกจากเจ้าตัวจะออกมาแสดงความยินดีกับปรากฏการณ์นี้แล้ว ยังมีลูกเล่นใหม่ที่เข้ากับสถานการณ์มาฝากพวกเราอีกด้วย นั่นก็คือแอพทำโปรไฟล์สีรุ้งที่ให้ทุกๆคนได้เข้าไปมีส่วนร่วมในการเฉลิมฉลองกับปรากฏการณ์ครั้งนี้ ใครที่อยากจะใช้โปรไฟล์สีรุ้งก็สามารถเข้าไปทำได้ที่ลิ้งค์นี้เลยนะคะ https://www.facebook.com/celebratepride แล้วมาสีรุ้งฟุ้งกระจายไปด้วยกันเนอะ

และนี่ก็คือที่มาของโปรไฟล์สีรุ้งที่บัดนี้ได้เกลื่อนเต็มเฟสบุ๊คไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เข้าใจกันแล้วใช่มั้ยล่ะคะว่าทำไมเขาถึงใช้สีรุ้งกัน



แต่เดี๋ยว! ช้าก่อน เราแอบได้ยินบางคนเข้าใจผิดเกี่ยวกับการใช้รูปโปรไฟล์สีรุ้งอยู่เลย การใช้โปรไฟล์สีรุ้งนั้น ไม่ได้หมายความว่าผู้ใช้เปิดเผยตนว่าเป็นชายรักชายนะคะ!!!

ธงสีรุ้ง 6 สี หรือ แถบสีรุ้งในโปรไฟล์เฟสบุ๊ค หมายถึง "Gay" แต่เกย์ในที่นี้ไม่ได้หมายถึงชายรักชายเพียงอย่างเดียวนะคะ แต่หมายถึงกลุ่มที่มีกลุ่มเพศทางเลือก หรือ LGBT นั่นก็คือ Lesbien, Gay, Bi-sexual และ Transgender

ผู้ที่เปลี่ยนรูปโปรไฟล์ในเฟสบุ๊คไม่ได้หมายความว่าผู้นั้นเป็นกลุ่มคนรักร่วมเพศ แต่การที่พวกเขาเหล่านั้นเปลี่ยนโปรไฟล์เป็นสีรุ้งก็เพราะต้องการที่จะแสดงความยินดีและร่วมเฉลิมฉลองให้กับกลุ่มคนรักร่วมเพศค่ะ

และนี่คือภาพตัวอย่างของบริษัทต่างๆที่เปลี่ยนรูปสัญลักษณ์เป็นสีรุ้งเพื่อร่วมเฉลิมฉลอง





















- ความคิดเห็นส่วนตัว..? -

สำหรับเรา การที่เปิดอิสรภาพให้แก่ความรักเช่นนี้ถือว่าเป็นเรื่องที่ดีมากค่ะ เพราะการที่คนเราจะรักใครสักคน มันไม่น่าจะต้องมีข้อจำกัดใดๆมาขัดขวางความรัก โดยเฉพาะในเรื่องของ "เพศ" คนส่วนใหญ่ชอบดูถูกความรักของคนเพศเดียวกัน หรือบางทีก็อาจจะถึงขั้นรังเกียจเหยียดหยามกันเลยทีเดียว ซึ่งจริงๆแล้วความรักนั้นเป็นสิ่งที่บริสุทธิ์ ไม่ว่าจะเกิดในกลุ่มคนประเภทไหน ชาติไหน วัยไหนก็ตาม ความรักก็ยังคงเป็นสิ่งที่ดีและงดงามเสมอ หากแต่ว่าบุคคลสองคนจะทำให้มันออกมาให้ดีและถูกต้องหรือไม่ แต่คำว่าถูกต้องในที่นี้จำเป็นต้องเป็นหญิงชายเสมอไปไหมคะ? เราคิดว่าไม่จำเป็นหรอกค่ะ ความรักเกิดขึ้นได้เสมอ เราไม่มีทางห้ามมันได้หรอก ไม่ว่าเราจะเป็นเพศไหน รักคนเพศเดียวกัน หรืออะไรก็ตามแต่ เราเชื่อว่าขอแค่เป็นคนดีและไม่สร้างความเดือดร้อนให้ใครก็ถือว่าดีมากแล้วค่ะ เพราะมันเป็นสิทธิของเราเนอะ แค่ใช้สิทธิให้อยู่ในกรอบของเราและทำมันออกมาให้ดีก็พอ






จงเชื่อในสิ่งที่คุณเป็น ไม่ใช่เชื่อในสิ่งที่คนอื่นต้องการให้คุณเป็น
 Just be who you want to be not what others want to see.











อ้างอิงรูปภาพจาก :

 https://pbs.twimg.com/media/CIcLEpFXAAAaac_.jpg

http://www.midiario.com/sites/default/files/styles/md_imagenes_del_dia_-_660x390/public/fa05.png?itok=UjA0Xpud

http://www.marketingoops.com/wp-content/uploads/2015/06/gay25.png

https://pbs.twimg.com/media/CHolHm_UwAAX-jm.jpg

http://cdn.pingwest.com/wp-content/uploads/2015/06/utube-pride.jpg-700x0

https://pbs.twimg.com/media/CIhaBwGWUAAXWlK.jpg




________________________

http://faceblog.in.th/2015/06/pride-lovewins/

http://social.whatphone.tv/pride-lovewins-lgbt/

วันพุธที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2558

Week4: โปรแกรมภาษาคอมพิวเตอร์ (Java)

Java คืออะไร?

Java หรือ Java programming language คือภาษาโปรแกรมเชิงวัตถุ พัฒนาโดย เจมส์ กอสลิง และวิศวกรคนอื่นๆ ที่บริษัท ซัน ไมโครซิสเต็มส์ ภาษานี้มีจุดประสงค์เพื่อใช้แทนภาษา C++ โดยรูปแบบที่เพิ่มเติมขึ้นคล้ายกับภาษา Objective-C แต่เดิมภาษานี้เรียกว่า ภาษาโอ๊ค (Oak) ซึ่งตั้งชื่อตามต้นโอ๊คใกล้ที่ทำงานของ เจมส์ กอสลิง แล้วภายหลังจึงเปลี่ยนไปใช้ชื่อ “จาวา” ซึ่งเป็นชื่อกาแฟแทน






ข้อดีของ ภาษา Java

– ภาษา Java เป็นภาษาที่สนับสนุนการเขียนโปรแกรมเชิงวัตถุแบบสมบูรณ์ ซึ่งเหมาะสำหรับพัฒนาระบบที่มีความซับซ้อน การพัฒนาโปรแกรมแบบวัตถุจะช่วยให้เราสามารถใช้คำหรือชื่อต่างๆ ที่มีอยู่ในระบบงานนั้นมาใช้ในการออกแบบโปรแกรมได้ ทำให้เข้าใจได้ง่ายขึ้น

– โปรแกรมที่เขียนขึ้นโดยใช้ภาษา Java จะมีความสามารถทำงานได้ในระบบปฏิบัติการที่แตกต่างกัน ไม่จําเป็นต้องดัดแปลงแก้ไขโปรแกรม เช่น หากเขียนโปรแกรมบนเครื่อง Sun โปรแกรมนั้นก็สามารถถูก compile และ run บนเครื่องพีซีธรรมดาได้

– ภาษาจาวามีการตรวจสอบข้อผิดพลาดทั้งตอน compile time และ runtime ทำให้ลดข้อผิดพลาดที่อาจเกิดขึ้นในโปรแกรม และช่วยให้ debug โปรแกรมได้ง่าย

– ภาษาจาวามีความซับซ้อนน้อยกว่าภาษา C++ เมื่อเปรียบเทียบ code ของโปรแกรมที่เขียนขึ้นโดยภาษา Java กับ C++ พบว่า โปรแกรมที่เขียนโดยภาษา Java จะมีจํานวน code น้อยกว่าโปรแกรมที่เขียนโดยภาษา C++ ทำให้ใช้งานได้ง่ายกว่าและลดความผิดพลาดได้มากขึ้น

– ภาษาจาวาถูกออกแบบมาให้มีความปลอดภัยสูงตั้งแต่แรก ทำให้โปรแกรมที่เขียนขึ้นด้วยจาวามีความปลอดภัยมากกว่าโปรแกรมที่เขียนขึ้นด้วยภาษาอื่น เพราะ Java มี security ทั้ง low level และ high level ได้แก่ electronic signature, public andprivate key management, access control และ certificatesของ

– มี IDE, application server, และ library ต่าง ๆ มากมายสำหรับจาวาที่เราสามารถใช้งานได้โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย ทำให้เราสามารถลดค่าใช้จ่ายที่ต้องเสียไปกับการซื้อ tool และ s/w ต่างๆ



ข้อเสียของ ภาษา Java

– ทำงานได้ช้ากว่า native code (โปรแกรมที่ compile ให้อยู่ในรูปของภาษาเครื่อง) หรือโปรแกรมที่เขียนขึ้นด้วยภาษาอื่น อย่างเช่น C หรือ C++ ทั้งนี้ก็เพราะว่าโปรแกรมที่เขียนขึ้นด้วยภาษาจาวาจะถูกแปลงเป็นภาษากลาง ก่อน แล้วเมื่อโปรแกรมทำงานคำสั่งของภาษากลางนี้จะถูกเปลี่ยนเป็นภาษาเครื่องอีก ทีหนึ่ง ทีล่ะคำสั่ง (หรือกลุ่มของคำสั่ง) ณ runtime ทำให้ทำงานช้ากว่า native code ซึ่งอยู่ในรูปของภาษาเครื่องแล้วตั้งแต่ compile โปรแกรมที่ต้องการความเร็วในการทำงานจึงไม่นิยมเขียนด้วยจาวา

– tool ที่มีในการใช้พัฒนาโปรแกรมจาวามักไม่ค่อยเก่ง ทำให้หลายอย่างโปรแกรมเมอร์จะต้องเป็นคนทำเอง ทำให้ต้องเสียเวลาทำงานในส่วนที่ tool ทำไม่ได้ ถ้าเราดู tool ของ MS จะใช้งานได้ง่ายกว่า และพัฒนาได้เร็วกว่า (แต่เราต้องซื้อ tool ของ MS และก็ต้องรันบน platform ของ MS)






คุณลักษณะเด่นของภาษา Java

–  ภาษา Java เป็นภาษาที่สนับสนุนการเขียนโปรแกรมเชิงวัตถุแบบสมบูรณ์

–  โปรแกรมที่เขียนขึ้นโดยใช้ภาษา Java จะมีความสามารถทำงานได้ในระบบปฏิบัติการที่แตกต่างกัน ไม่จําเป็นต้องดัดแปลงแก้ไขโปรแกรม เช่น หากเขียนโปรแกรมบนเครื่อง Sun โปรแกรมนั้นก็สามารถถูก compile และ run บนเครื่องพีซีธรรมดาได้

–  เมื่อเปรียบเทียบ code ของโปรแกรมที่เขียนขึ้นโดยภาษา Java กับ C++ พบว่า โปรแกรมที่เขียนโดยภาษา Java จะมีจํานวน code น้อยกว่าโปรแกรมที่เขียนโดยภาษา C++ ถึง 4 เท่า และใช้เวลาในการเขียนโปรแกรม น้อยกว่าประมาณ 2 เท่า

–  Java มี security ทั้ง low level และ high level ได้แก่ electronic signature, public andprivate key management, access control และ certificatesของภาษาจาวา



รูปแบบของ script

ในการเขียน script สามารถเขียน โดยในรูปแบบที่ 1 ได้โดยไม่ต้องระบุภาษาก็ได้ แต่ต้องเขียน tag ของ script ดังรูป




ในการเขียน script ตามรูปแบบที่ 2 โดยระบุภาษาเป็น javascript และเขียนใน tag ของ script ดังรูป









อ้างอิงรูปภาพจาก :

http://www.orafaq.com/wiki/images/thumb/2/21/Java_logo.jpg/300px-Java_logo.jpg

http://hntechno.com/img/product-development-using-java.jpg



_________________________________

อ้างอิงข้อมูลจาก : https://nongtha57.wordpress.com/ความเป็นมา-java/

วันพุธที่ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2558

Week3: Social Network กับนักเรียนและสังคม

เป็นสิ่งที่ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าทุกๆคนต้องมี สำหรับ "สังคมออนไลน์" หรือ "Social Network" ที่แทบจะกลายเป็นสังคมหลักของชีวิตมนุษย์ในปัจจุบัน ไม่ว่าจะเด็กเล็กๆ เด็กวัยรุ่น ผู้ใหญ่ หรือผู้สูงอายุ ก็เริ่มเข้ามามีส่วนร่วมในสังคมออนไลน์


สำหรับโซเชียลเน็ตเวิร์คนั้นก็มีหลากหลายประเภทให้เลือกใช้กันไม่หวาดไม่ไหว มีทั้งที่เป็นโปรแกรมในเครื่อง PC และแอพพลิเคชั่นใน Smartphone ทั่วๆไป อาทิ Line, Facebook, Twitter, Instagram และ Youtube เป็นต้น แล้วความหมายของโซเชียลเน็ตเวิร์คนี่มันคืออะไรกัน?







Social Network คือ?
สังคมออนไลน์หรือโซเชียลเน็ตเวิร์ค (Social Network) นั้น ไม่ได้หมายถึงแอพพลิเคชั่นที่ใช้แชทกันเท่านั้น แต่คือการที่ผู้ใช้งานอินเตอร์เน็ตคนหนึ่ง เชื่อมโยงกับผู้ใช้งานอินเตอร์เน็ตคนอื่นๆ ผ่านผู้ให้บริการด้านโซเชียลเน็ตเวิร์ค* หรือนั่นก็คือพวกเว็บไซต์ โปรแกรมหรือแอพพลิเคชั่นต่างๆนั่นเอง


นอกจากโซเชียลเน็ตเวิร์คจะมีไว้เพื่ออำนวยสะดวกในการติดต่อสื่อสารกันแล้ว เรายังสามารถแชร์สิ่งต่างๆร่วมกันได้อีกด้วย ไม่ว่าจะเป็นการแชร์คลิปวิดีโอบน Youtube หรือการแชร์โพสต์ต่างๆบน Facebook และเพราะเหตุนี้เอง คนในสังคมปัจจุบันจึงเลือกที่จะใช้โซเชียลเน็ตเวิร์คเป็นตัวแทนในการสื่อสาร บ่งบอกตัวตน หรือแสดงผลงานต่างๆ เพราะให้ความสะดวกและความรวดเร็วนั่นเอง







Social Network กับสังคม?
เนื่องจากปัจจุบันสมาร์ทโฟนและ Social Network มีการพัฒนาก้าวหน้าขึ้นไปอย่างรวดเร็ว จึงทำให้คนส่วนใหญ่เลือกที่จะใช้สิ่งเหล่านี้เพื่ออำนวยความสะดวกในชีวิตประจำวัน แต่บ่อยครั้งที่เราอาจจะเห็นว่าเราปล่อยให้ Social Network อยู่เหนือการควบคุมของเรามากเกินไป จากที่ใช้แค่เพื่ออำนวยความสะดวก กลับกลายเป็นการเสพติดโซเชียล มีอะไรก็ต้องแชร์ ต้องอัพเดตให้คนอื่นเห็น จะคุยกับใครก็ใช้วิธีการทักแชทไปคุยแทนการโทรศัพท์หรือเจอหน้าพูดคุยกัน เวลาว่างก็หมดไปกับการเล่นโซเชียลต่างๆ หรือเล่นจนไม่ได้หลับไม่ได้นอนก็มี สังคมลักษณะนี้ในปัจจุบันจึงถูกขนานนามว่า "สังคมก้มหน้า" ซึ่งสังคมแบบนี้ก็อาจจะทำให้ความสนิทสนมระหว่างสมาชิกในครอบครัว หรือความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลลดน้อยลง อย่างเช่นเมื่อเรามีปัญหาอะไร คนสมัยนี้ก็เลือกที่จะเข้าหาโซเชียลแทนที่จะพูดคุยปรึกษากับคนรอบตัวหรือคนในครอบครัวก่อน กลายเป็นว่าเรากลับให้ความสำคัญกับคนในโซเชียล โดยที่เราก็ไม่สามารถรู้ถึงเจตนาของเขาได้ ซึ่งเหตุนี้ก็อาจจะเป็นหนึ่งในสาเหตุที่ก่อให้เกิดอาชญากรรมได้อีกด้วย







Social Network กับตัวฉัน?
เรายอมรับว่าเราเองก็เป็นอีกหนึ่งคนที่ติด Social Network เพราะเราคิดว่ามันง่ายต่อการติดต่อสื่อสารและการติดตามสื่อบันเทิง หรือข่าวสารต่างๆ เราคิดว่า Social Network นั้นก็เป็นประโยชน์และจำเป็นกับสังคมปัจจุบันในระดับหนึ่ง เพราะหากเราเป็นคนที่ปิดกั้นโซเชียลมากเกินไป เราก็อาจจะเป็นคนที่ไม่ทันข่าวสาร เพราะส่วนใหญ่ข่าวสารต่างๆก็มักจะเข้าถึง Social Network เร็วกว่า แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเราจะอยู่ไม่ได้หากไม่มีมัน ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนมีทั้งข้อดีและข้อเสียอยู่ในตัว Social Network ก็เช่นกัน ยิ่งมีข้อดีมากเท่าไหร่ก็ยิ่งมีข้อเสียตามมามากเท่านั้น


หากเรารู้จักวิธีการใช้มันให้เกิดประโยชน์ ไม่นำไปใช้ในทางที่ผิด รู้จักเคารพสิทธิของกันและกัน ไม่ไปก้าวก่ายผู้อื่น เราก็จะสามารถอยู่ร่วมกันกับคนใน "สังคมก้มหน้า" ได้อย่างมีความสุข













อ้างอิงรูปภาพจาก :

http://www.tacthai.com/FileSystem/Image/www.onlinesoft.co.th/20111214/Social-Network-Stock-Photo.jpg

https://engagor.com/wp-content/uploads/2014/01/social-business.jpg

http://cdn1.tnwcdn.com/wp-content/blogs.dir/1/files/2014/06/social-media-apps.jpg

http://www.as-habee.com/wp-content/uploads/2015/02/1402414053-a-o.jpg



___________________________

* http://www.microbrand.co/social-network-คืออะไร-ใช้งานอย่างไร/

วันอังคารที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2558

Week2: 나도 ติ่ง 이야!! (ฉันก็เป็นติ่งเหมือนกันนะ)

ถ้าพูดถึงด้านความบันเทิง จะไม่พูดถึงประเทศเกาหลีใต้ก็คงจะผิดแรง เพราะในปัจจุบันนั้นกระแสนิยมด้านสื่อบันเทิงของเกาหลีกำลังพุ่งกระฉูดอย่างฉุดไม่อยู่ ไม่ว่าจะเป็นในด้านซีรี่ย์ รายการวาไรตี้หรือรายการบันเทิงต่างๆ โดยเฉพาะด้านดนตรี ประเภทร้องรำทำเพลงที่รู้จักกันดีในนามของคำว่า "K-pop"






หลายๆคนคงได้ยินจนระอาแล้วสินะคะสำหรับคำว่าเคป็อป แต่เราเชื่อว่าหลายๆคนคงอาจจะยังไม่รู้จักเกี่ยวกับเรื่องนี้ดีเท่าไหร่นัก จริงๆแล้วเคป็อปก็คือเพลงป็อปของเกาหลีนั่นแหละค่ะ ศิลปินบ้านเขาก็จะมีตั้งแต่เดี่ยว ดูโอ้ ยันตั้งทีมฟุตบอลได้ เคป็อปเป็นชื่อเรียกแนวเพลงธรรมดาๆ ที่ได้รับการยอมรับและได้รับความนิยมจากหลายๆประเทศ แต่ความนิยมในเคป็อปก็มักจะถูกมองว่าเป็นการคลั่งไคล้ ดูเป็น "ติ่ง" ไร้สาระ ทั้งๆที่มันก็เป็นความชอบหรือความรักในสิ่งใดสิ่งหนึ่งที่ทุกๆคนก็มีเหมือนกัน ทำไม "ติ่ง" ถึงถูกมองแบบนี้กันนะ?


แล้วคำว่า "ติ่ง" นี่มันคืออะไรล่ะ มันมาจากไหน ทำไมต้องเป็น "ติ่ง" ด้วย เคยสงสัยกันบ้างไหมคะ? ติ่งในที่นี้ไม่ได้หมายถึงไส้ติ่งนะคะ แต่คำว่า"ติ่ง"หรือ"ติ่งเกาหลี" มีต้นกำเนิดจากที่ว่า เมื่อก่อนมีสาวกเคป็อปที่ยังเป็นเด็กมัธยมต้นไว้ทรงผมสั้นเท่าติ่งหูกลุ่มนึง(หรืออาจจะหลายกลุ่ม) ได้สร้างวีรกรรมบางอย่างที่ทำให้มีคนเข้าไปว่าและเรียกสาวกประเภทนี้ว่าพวกติ่ง เลยเกิดการประชดประชันกันว่า "เออใช่ ฉันมันติ่ง!" จนสุดท้ายมันก็กลับกลายมาเป็นคำติดปากที่ใช้เรียกคนกลุ่มหนึ่งที่มีความชอบในสิ่งเดียวกันเฉกเช่น "ติ่งเกาหลี" เป็นต้นนี่แหละค่ะคุณขา






แล้วทำไมติ่งเกาหลีถึงถูกมองว่าไร้สาระ คลั่งไคล้บ้าบอเกินเหตุขนาดนั้นกันล่ะ ทั้งๆที่พวกเราก็ไม่ได้สร้างความเดือดร้อนให้ใครเลย เราเพียงแค่ไปดูคอนเสิร์ตศิลปินที่เราชอบ ซื้ออัลบัมหรือของออฟฟิเชียลของศิลปิน ฟังเพลงและเต้นโคฟเวอร์ ซึ่งก็เป็นลักษณะธรรมดาของแฟนคลับทั่วๆไปที่มีความรักความชอบในศิลปิน






การที่เรายอมจ่ายเงินแพงๆเพื่อไปดูคอนเสิร์ต ก็ไม่ต่างอะไรกับการที่คอฟุตบอลยอมเสียค่าตั๋วไปนั่งติดขอบสนามเชียร์ทีมที่ตนเองรัก ทั้งๆที่สามารถดูถ่ายทอดสดทางทีวีได้เหมือนกัน หรือคนที่ชอบแต่งเครื่องยนต์ก็ยอมจ่ายเงินซื้อเครื่องแพงๆมาประดับรถของตน ทุกอย่างล้วนเกิดเพราะความชอบเช่นเดียวกันทั้งนั้น






คุณก็คงไม่ชอบเหมือนกันใช่ไหมล่ะ ถ้ามีคนมาดูถูกว่าความชอบของคุณเป็นเรื่องไร้สาระ เพราะฉะนั้นก็อย่าตัดสินความชอบของคนอื่นว่าเป็นเรื่องไร้สาระด้วยทัศนคติของคุณเอง


เราเองก็เป็นอีกคนที่เป็นติ่งเกาหลี และเราเชื่อว่าการชอบศิลปินเกาหลี ศิลปินต่างชาติ ศิลปินในชาติ หรือว่าจะชอบในอะไรก็ตามแต่ หากแบ่งเวลาได้ รู้ขอบเขตของตนเอง และไม่สร้างความเดือดร้อนให้ใครก็ถือว่าโอเคแล้วค่ะ






สุดท้ายนี้ก็อยากจะบอกว่าติ่งไม่ได้เลวร้ายอย่างที่คุณคิดนะคะ อาจจะมีบางครั้งที่ทำผิดพลาดไปบ้าง แต่นั่นก็ไม่ใช่ทั้งหมด อยากให้ทุกคนลองเปิดใจรับฟังมุมมองของติ่งอย่างพวกเรากันด้วยนะคะ



"ถึงจะชอบเกาหลี แต่ก็ไม่เคยทรพีประเทศไทย"







อ้างอิงรูปภาพจาก :

http://image.dek-d.com/27/0374/9630/115904540

http://image.newsis.com/2013/07/31/NISI20130731_0008489956_web.jpg

http://www.sportsworldi.com/content/image/2011/09/05/20110905000703_0.jpg

http://cfile7.uf.tistory.com/image/1512603D5100D67E3497BD

http://www.allaboutmusic.asia/wp-content/uploads/2014/09/EXO-Concert-2.jpg

วันพุธที่ 3 มิถุนายน พ.ศ. 2558

Week1: เทคโนโลยีกับชีวิตประจำวัน

ในปัจจุบันเทคโนโลยีมีอิทธิพลต่อชีวิตประจำวันของเรามาก ตั้งแต่ตื่นนอน รับประทานอาหาร ออกไปทำงาน สังสรรค์กับผองเพื่อน จนกระทั่งเข้านอน เทคโนโลยีล้วนมีส่วนเกี่ยวข้องกับการดำเนินชีวิตของเราทั้งนั้น เราอาจจะไม่ได้สังเกต แต่หากลองมองดูดีๆแล้ว เทคโนโลยีได้เข้ามามีบทบาทกับชีวิตประจำวันของเรามากขึ้นเรื่อยๆจนเราปฏิเสธไม่ได้

ยิ่งโลกของเรามีการพัฒนามากขึ้นเท่าไหร่ มนุษย์เราก็ต้องมีการแข่งขันกับเวลามากขึ้นเท่านั้น เทคโนโลยีจึงยิ่งมีส่วนสำคัญในการช่วยอำนวยความสะดวกในการทำกิจกรรมหรือทำงานต่างๆ และช่วยทุ่นเวลาให้สั้นลงอีกด้วย







เทคโนโลยีที่หลายๆคนเข้าใจ อาจจะเป็นเทคโนโลยีจำพวกเครื่องมือสื่อสาร เช่น โทรศัพท์ หรือคอมพิวเตอร์ แต่อันที่จริงแล้ว เทคโนโลยีนั้นหมายถึง การใช้ความรู้ เครื่องมือ ความคิด หลักการ เทคนิค ระเบียบวิธี กระบวนการ ตลอดจนผลงานทางวิทยาศาสตร์ทั้งสิ่งประดิษฐ์และวิธีการ มาประยุกต์ใช้ในระบบงาน เพื่อช่วยให้การทำงานมีประสิทธิภาพมากขึ้น ซึ่งนั่นแปลว่าเทคโนโลยีนั้นไม่ได้เป็นแค่เครื่องมือที่ทันสมัยราคาแพงอย่างที่เราๆเข้าใจกัน แต่หมายรวมไปถึงอุปกรณ์ต่างๆในโรงงานอุตสาหกรรม เครื่องจักรกล รถยนต์ หรือแม้กระทั่งเทคโนโลยีทางการเกษตรก็เช่นกัน สิ่งเหล่านี้ล้วนช่วยให้การดำเนินชีวิตประจำวันของเรานั้นมีความสะดวกสบายยิ่งขึ้น







แต่เทคโนโลยีที่ใกล้ตัวเราที่สุด ได้รับความสนใจที่สุด และผู้คนรู้จักมากที่สุด ก็คือ "โทรศัพท์มือถือ" ที่กำลังจะกลายเป็นอวัยวะชิ้นที่ 33 ของเรา โทรศัพท์มือถือ ถือเป็นเทคโนโลยีอย่างหนึ่งที่มีการพัฒนาอย่างรวดเร็ว ในอดีตหากเราต้องการติดต่อสื่อสารกันก็อาจจะใช้จดหมายเป็นเครื่องมือ แต่ในปัจจุบันเพียงแค่เราหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมากดโทรหากัน ส่งข้อความหากัน ก็สามารถติดต่อกันได้อย่างง่ายดาย แถมยังมีฟังก์ชั่นที่ล้ำสมัย เช่น การติดต่อสื่อสารทางแอพพลิเคชั่นต่างๆที่มีลูกเล่นมากมาย ทั้งการแชท การสื่อสารแบบวิดีโอคอล หรือแม้แต่การโทรฟรีข้ามประเทศก็สามารถทำได้ง่ายๆ






โทรศัพท์มือถือเพิ่มความสะดวกสบายในการติดต่อสื่อสารหากันก็จริง แต่สิ่งนี้ก็เป็นเหมือนดาบสองคม ที่มีทั้งคุณและโทษ การติดต่อกันผ่านทางตัวอักษรในแอพพลิเคชั่นนั้น ทำให้ความสำคัญของการเจอหน้าพูดคุยกันนั้นน้อยลง ผู้คนนิยมติดต่อกันผ่านทางโทรศัพท์มือถือที่มอบความสะดวกให้กับเรา แต่มันกลับทำให้ความสัมพันธ์นั้นฉาบฉวยและเปราะบางมากกว่าแต่ก่อนอย่างปฏิเสธไม่ได้จริงๆ

เทคโนโลยีนั้น หากเราใช้ให้ถูกวิธีก็จะเกิดคุณ แต่หากเราใช้ในทางที่ผิด ก็สามารถทำให้เกิดโทษได้ง่ายๆ เราจึงต้องมีสติในการใช้เทคโลโนยีให้มากๆ และรู้จักอยู่กับมันอย่างสันติ









อ้างอิงรูปภาพจาก :

http://starrfmonline.com/kitnes/data/2015/03/18/1.2177638.jpg

http://en.1globaltranslators.com/wp-content/uploads/2015/03/Camera-Technology-to-Assist-Your-Property-Inspection-App.png

http://www.sintonisd.net/cm/images/stories/district/edtech.png

http://www.chino.k12.ca.us/cms/lib8/CA01902308/Centricity/Domain/1370/tech.jpg